อลีสซงหนึบ, มาเน่อย่างหล่อ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ทุบ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก

ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มสุดยอดหลังบุกไปอัด เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก 2-0 ในเกมสุดท้าย รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี วันอังคารที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ผงาดคว้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม พร้อมกับทำคลีนชีตแรกสำหรับรอบแบ่งกลุ่มถ้วยใบยุโรป ในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ

แมตช์นี้ ซัลซ์บวร์ก เปิดฉากกดดันตั้งแต่เสียงนกหวีดดังขึ้น และมีโอกาสที่จะยิงประตู “หงส์แดง” แต่ต้องขอบคุณความเหนียวหนึบของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่ป้องกันเอาไว้ได้หลายต่อหลายครั้ง ขณะเดียวกันแผงแบ็กโฟร์ โดยเฉพาะคู่เซนเตอร์แบ็กก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ

ขณะเดียวกันในแผงเกมรุกกับกองกลางของ “เดอะ เร้ดส์” เล่นได้เนียนไม่มีที่ติ แต่หากจะตำหนิก็มีแค่การใช้โอกาสเปลืองของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กระนั้นเมื่อมองภาพรวมแมตช์นี้ถือว่าลูกทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม และสามารถแบกรับแรงกดดันในสถานการณ์ที่ยากลำบากได้สำเร็จอีกครั้ง

1.  เซนเตอร์แบ็กลงตัว

หลังจากที่ โฌแอล มาติป มีปัญหาบาดเจ็บต้องพักยาว แน่นอนว่าแฟนบอลลิเวอร์พูล เกิดอาการหวั่นวิตกว่าใครจะมายืนคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เพราะมองจากรายชื่อทั้ง เดยัน ลอฟเรน กับ โจ โกเมซ งานนี้เหล่าสาวกพันธุ์แท้ได้แต่ส่ายหัวทำใจอย่างเดียว   

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ที่ คล็อปป์ เลือกให้โอกาส ลอฟเรน ได้ยืนคู่กับ ฟาน ไดค์ กลายเป็นว่าทั้งสองคนโชว์ฟอร์มได้โดดเด่น และทำผิดพลาดน้อยมาก แถมทั้งสองคนยังมีทีเด็ดในการเปิดบอลยาวจากแดนหลังให้กองหน้าหลุดเข้าไปทำประตู ซึ่ง ดาวเตะชาวโครเอเชีย แสดงให้เห็นมาแล้วในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์ถล่ม เอฟเวอร์ตัน

สำหรับแมตช์สำคัญในการเยือน ซัลซ์บวร์ก ช่วงแรกๆ เจ้าบ้านอาจจะพยายามบุกกดดัน โดยเฉพาะการใช้ความใหญ่และเร็วของ เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ เพื่อจัดการกับ ลอฟเรน แต่งานนี้ แข้งโครแอต ไม่มีหวั่น และสามารถรับมือกับ ดาวรุ่งชาวนอร์เวย์ได้อย่างไม่มีที่ติ แถม ทาคูมิ มินามิโนะ และ ฮวาง ฮี-ชาน ก็เล่นไม่ออกเมื่อเจอคู่เซนเตอร์แบ็กนี้

หากชม 2 เซนเตอร์แบ็กแล้ว ก็ต้องชม 2 ฟูลแบ็กทั้ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่คุมพื้นที่ทางกราบขวาและซ้ายได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในรายของกัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ มีส่วนในจังหวะสำคัญช่วยให้ทีมไม่เสียประตูสองถึงสามครั้งเลยทีเดียว

กระนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คืออาการบาดเจ็บของ ลอฟเรน หลังเจ้าตัวต้องโดนเปลี่ยนออกในช่วงต้นครึ่งหลัง งานนี้คงต้องมาลุ้นกันว่าเขาจะเจ็บหนักไหม หรือต้องพักนานแค่ไหน เพราะตอนนี้ทีมเหลือเซนเตอร์แบ็กแค่ ฟาน ไดค์ กับ โกเมซ เท่านั้น ที่เหลือก็พวกดาวรุ่ง กับกองหลังจำเป็น

2. แผงกองกลางโดดเด่น

ต้องยอมรับว่าเกมนี้ จอร์จินโย่ ไวนัลจ์ดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ นาบี เกอิต้า ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งสามคน และมีส่วนสำคัญในการช่วยให้แชมป์เก่าครองเกมเหนือ ซัลซ์บวร์ก โดยเฉพาะการเชื่อมเกมระหว่างแดนกลางกับแดนหน้าที่ช่วยสร้างโอกาสในการทำประตูให้กับทีม

การขาด ฟาบินโญ่ ทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” อาจจะรู้สึกหวาดหวั่นไปบ้างว่ากองกลางของทีมอาจจะขาดสมดุล แต่งานนี้ คล็อปป์ ไว้วางใจ ไวนัลจ์ดุม ให้ทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้งมิดฟิลด์ และก็ไม่ผิดหวัง โดยดาวเตะเลือดดัตช์สามารถคุมจังหวะการเล่นได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ “กัปตันเฮนโด้” ยังสามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้ยอดเยี่ยม ทั้งวิ่งไล่บี้กดดันกองกลางซัลซ์บวร์ก คอยวิ่งลงต่ำมารับบอล และพยายามช่วยทีมเติมเกมรุก รวมทั้งการหาจังหวะเปิดบอลยาวที่ก็เกือบได้ผลหลายครั้ง แถมประตูนำ 2-0 ก็เป็นเขาที่มีส่วนเปิดบอลยาว ก่อนที่ ซาลาห์ จะยิงประตูสุดเหลือเชื่อได้ กระนั้นจุดที่โดดเด่นของเขาในเกมนี้ก็คือคอยช่วยเกมรับทำให้กองหลังไม่ต้องเจอกับงานหนักมากนัก

ส่วน เกอิต้า ต้องบอกเลยว่าโชว์ฝีเท้าตอบแทนความไว้วางใจของ คล็อปป์ ได้อย่างสุดยอด หลังจากที่ได้รับโอกาสลงเล่นตัวจริง 2 เกมติดต่อกัน (บอร์นมัธ) แมตช์นี้ ดาวเตะกีนี ทำหน้าที่เล่นเกมรุกเป็นส่วนใหญ่ และประสานงานกับ มาเน่, โม ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้อย่างลงตัว

โดยเฉพาะการเล่นที่สุดเนียนตาระหว่างเขา กับ มาเน่ ต้องยอมรับว่าทั้งสองคนเข้าขากันสุดๆ แถมประตูแรกยังมาจากการประสานงานอย่างลงตัวของทั้งคู่ ส่วนเกมรับ เกอิต้า ก็มักจะวิ่งลงมาแย่งบอลคืนได้บ่อยๆ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คล็อปป์ จะมีชื่อของ เกอิต้า เป็นเบอร์ 1 ในแผงมิดฟิลด์ไปแล้วในเวลานี้

3. มาเน่อย่างหล่อ

สำหรับฤดูกาลนี้แฟนบอล “เดอะ เร้ดส์” พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ซาดิโอ มาเน่ คือนักเตะที่สำคัญมากๆ ของทีมในเวลานี้ ฟอร์มของเจ้าตัวไม่มีตกเลยตั้งแต่เปิดฤดูกาล แถมยังทุ่มเทเกินร้อย วิ่งไม่มีหมด และยังเป็นผู้เล่นที่ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมจ่ายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมยิงประตูตลอด

มาเน่ รักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างดีเยี่ยม โดยความคล่องความไวของเขาปั่นป่วนเกมรับ ซัลซ์บวร์ก ได้ตลอด และมีโอกาสส่งบอลให้ โม ซาลาห์ ทำประตู แต่น่าเสียดาจที่ “คิง ออฟ อียิปต์” ดูเหมือนจะขาดความเฉียบคมไปบ้างในฤดูกาลนี้

สำหรับครึ่งหลังต้องบอกเลยว่า ดาวเตะทีมชาติเซเนกัล ระเบิดฟอร์มสุดยอดและประสานงานกับ เกอิต้า ได้อย่างลงตัวโดยเฉพาะในจังหวะที่ช่วยให้ “หงส์แดง” ปลดล็อกประตูแรก ก็มาจากการความเร็จปานจรวดที่แตะบอลทะลุเข้าไปเกือบถึงเส้นหลังก่อนจะโยนเข้ากลางให้ เกอิต้า โหม่งสบายๆ

นอกจากนี้ยังมีหลายจังหวะที่ มาเน่ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเรียกฟาวล์ได้บ่อยๆ อย่างไรก็ตามเกมนี้มีแค่เรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือการที่เขาไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ดในฐานะคนทำประตู เพราะช่วงท้ายเกม อดีตแข้ง “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน มีโอกาสจะๆ หน้าประตู แต่ดันไปยิงติดกองหลัง ไม่งั้นนี่จะเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบของเจ้าตัวเลยทีเดียว

4. ซาลาห์มีทั้งร้ายและดี   

โม ซาลาห์ มีโอกาสงามๆ หลายครั้งในเกมนี้ และก็พลาดแบบไม่น่าพลาด แต่ในขณะเดียวกันเขาได้รับหนึ่งในโอกาสที่สุดแสนยากลำบากในการทำประตู แต่เจ้าตัวดันยิงเข้าไปซะงั้น งานนี้ทำเอาสาวก “เดอะ ค็อป” แซวขำขำว่า “ง่ายๆ ยิงไม่เป็นต้องเน้นยิงยากๆ เท่านั้น”

จังหวะแรกที่ “บังโม” มีโอกาสโดนปฏิเสธโดย ซิซาน สตานโควิช นายทวารเจ้าบ้าน ก่อนที่เขาจะมาพลาดจังหวะที่สองแบบน่าอายนิดๆ โดย เกอิต้า ส่งบอลให้เขาที่ยืนอยู่โล่งๆ และ สตาร์ดังชาวอียิปต์ ยิงเร็วในจังหวะแรกแต่บอลออกเสาหน้าตาเฉย ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะเจ้าตัวยังขันอาสาซัดฟรีคิกบริเวณกรอบเขตโทษ แต่บอลเหินไปที่อัฒจันทร์หลังประตูแบบไม่มีลุ้น

ขณะที่ครึ่งหลัง ซาลาห์ ยังจับจังหวะการยิงไม่ค่อยได้โดยเริ่มด้วยการซัดบอลข้ามคานจากจังหวะการผ่านบอลสุดคมกริบของ มาเน่ หลังจากนั้นก็มีโอกาสทะลุเขาไปดวลแบบตัวต่อตัวกับ สตานโควิช แต่ก็เจอโกล์ซัลซ์บวร์ก ใช้มือปัดบอลออกไปได้ทัน โดยในตอนนั้นดูเหมือน ซาลาห์ ต้องเจอกับความยากลำบากในการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย

อย่างไรก็ตาม บทที่เจ้าตัวจะยิงประตูได้ก็ทำได้ชนิดที่หลายๆ คนยังไม่อยากเชื่อ เพราะจังหวะที่ “เฮนโด้” เปิดบอลยาว “บังโม” ยังวิ่งตามหลัง  เฌอโรม อ็องเกเน่ แต่เขาดันโหม่งสกัดพลาดทำให้ ซาลาห์ ใช้ความเร็ว วิ่งไปแตะบอลหลบ สตานโควิช ซึ่งในช่วงนั้นมุมที่จะยิงประตูเหลืออยู่นิดเดียว แต่ ดาวเตะแดนมัมมี่ ใช้เท้าขวาข้างไม่ถนัดจัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้อย่างน่าอัศจรรย์

งานนี้ทำเอาแฟนบอล, เพื่อนร่วมทีม แม้แต่ คล็อปป์ ยังงงกับประตูดังกล่าว เพราะไม่อยากเชื่อว่า ซาลาห์ จะยิงได้ ฉะนั้นในเวลานี้หากจะให้เจ้าตัวยิงประตูง่ายๆ อย่างได้คาดหวัง แต่หากลุ้นจังหวะยิงยากๆ อาจจะมีโอกาสได้เห็นสกอร์ก็เป็นได้

5. อลีสซง โชว์หนึบ

ไม่มีแฟนบอล “หงส์แดง” คนนั้นที่ลืมจังหวะซูเปอร์เซฟของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ในช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายเกมเฉือน นาโปลี แมตช์สุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งมีความสำคัญมากๆ เพราะนั่นเป็นจังหวะที่ช่วยส่ง ลิเวอร์พูล ก้าวไปสู่การเป็นแชมป์โทรฟี่ “บิ๊กเอียร์”

ในเกมนี้ นายทวารชาวบราซิเลียน แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนสำคัญในเกมที่ตึงเครียดอีกครั้ง โดยเขาโชว์ให้เห็นถึงความนิ่ง และเต็มไปด้วยสมาธิในการเล่น ซึ่งนี่คือปัจจัยสำคัญในการช่วงป้องกันหลายๆ จังหวะที่ ซัลซ์บวร์ก ยิงใส่  “เดอะ เร้ดส์” โดยเฉพาะในครึ่งแรก

อลีสซง โชว์หนึบป้องกันการยิงของ เอน็อค เอ็มเวปู ก่อนที่จะระเบิดฟอร์มดับเบิลซูเปอร์เซฟจากการพยายามยิงของ  มินามิโนะ และ ฮวาง ฮี-ชาน ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะเจ้าตัวยังเซฟลูกยิงของ เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ รวมทั้งอีกหลายๆ จังหวะที่ โกล์แซมบ้า ป้องกันเอาไว้ได้

นอกจากนี้ในบางครั้ง อลีสซง ยังออกมาช่วยทำหน้าที่เป็นกองหลัง อย่างในจังหวะที่เขารีบออกมาโหม่งบอลทิ้งก่อนที่จะโดนแนวรุกซัลซ์บวร์กบุกขึ้นมากดดัน แน่นอนว่าดับเบิลซูเปอร์เซฟในครึ่งแรกอาจจะเป็นจังหวะที่โดดเด่นของ อลีสซง แต่หากมองภาพรวมในการทำหน้าที่และการช่วยเหลือทีม ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะได้รับการยกย่องให้เป็นนายทวารที่เก่งที่สุดในโลกตอนนี้

x